วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คำแนะนำการดูโทรทัศน์ในเด็กเล็กๆ

คำแนะนำการดูโทรทัศน์ในเด็กเล็กๆหนึ่ง ในนักวิจัยเกี่ยวกับโทรทัศน์ชุด “Baby Einstein” กล่าวว่าผู้ปกครองควรที่จะดูโทรทัศน์ร่วมกับเด็ก ถ้าจะให้เด็กเล็กๆ ดูโทรทัศน์ ซึ่งอย่างน้อยก็จะเป็นวิธีที่จะช่วยในการมีส่วนร่วมหรืออธิบายในเนื้อหาของ โทรทัศน์ที่ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยผู้สร้างโทรทัศน์ชุด “Baby Einstein” ก็แนะนำเช่นเดียวกัน

แต่ผู้เชี่ยวชาญมากมายต่างโต้แย้งว่าในเด็กเล็ก ๆ ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์ สถาบัน “American Academy of Pediatrics (AAP)” กล่าวว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรดูโทรทัศน์และเด็กอายุมากกว่า 2 ขวบขึ้นไปไม่ควรดูโทรทัศน์มากกว่าหนึ่งหรือสองชั่วโมงต่อวัน

ในเอกสารตีพิมพ์ “Frederick Zimmerman” และนักวิจัยอื่นๆ เน้นไปที่เวลา การดูโทรทัศน์ทำให้เด็กเล็กๆ เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะว่าเด็กเล็กๆ ควรจะนอนอย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวัน ผู้ปกครองควรใช้เวลากับเด็กๆ ในการพูดคุยด้วย (ช่วยให้เด็กพัฒนาในเรื่องของภาษา) และมีส่วนร่วมในการปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งในโทรทัศน์ไม่สามารถทำได้ การพัฒนาทางด้านร่างกายและสังคมช่วยให้เด็กมีการพัฒนาทางด้านภาษาได้ สถาบัน “American Speech-Language-Hearing Association” แนะนำว่าการฝึกหัดการพัฒนาความเข้าใจในเด็กเล็ก ๆ เช่นการเช่นสายตา (eye contact) การสนทนาโต้ตอบ การเล่นโดยพัฒนานิ้วมือเด็ก (เช่นบล๊อคหยอดรูปทรงต่างๆ) และการอ่านให้เด็กฟัง

แต่นักวิจัยบางคนแสดงให้เห็นว่ารายการโทรทัศน์บางรายการก็ช่วยในเรื่อง พัฒนาการของเด็ก เช่นรายการ “Sesame Street” ที่เป็นรายการสำหรับเด็กโดยเฉพาะ และรายการเกี่ยวกับการศึกษาก็เป็นประโยชน์กับเด็กก่อนวัยเรียน หรือรายการโทรทัศน์ของช่อง “BabyFirstTV” ที่ทำให้สำหรับเด็กเล็กๆ ซึ่งมีเสียงวิจารย์มากมายเกี่ยวกับรายการช่องนี้ BabyFistTV เป็นช่องรายการไม่แสวงผลกำไร มีโปรแกรมเกี่ยวกับการศึกษา โดยทางบริษัทกล่าวอ้างว่าผู้ปกครองทั่วไปจะปล่อยให้เด็กดูรายโทรทัศน์เพียง ลำพัง แต่ผู้ชมรายการของเขาส่วนใหญ่มีผู้ปกครองดูรายการร่วมกับเด็กๆ

มีความคิดที่หลากหลายเกี่ยวกับการดูโทรทัศน์ในเด็กที่มีทั้งในแง่ดีและ ไม่ดี แต่สถาบัน “AAP” และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็ก แนะนำว่าอย่างไรก็ตามถ้าจะใช้เด็กดูรายการโทรทัศน์ควรจะนั่งดูร่วมกับเด็ก ๆ ด้วย ซึ่งการดูร่วมกันจะมีการโต้ตอบร่วมด้วยซึ่งจะเป็นผลดี โดยผู้ปกครองจะอธิบายในสิ่งต่างๆ ที่เด็กไม่เข้าใจได้

บทสรุป สำหรับการดูรายการโทรทัศน์ในเด็กเล็กๆ นั้นอาจจะกล่าวได้ว่า การดูโทรทัศน์ในเด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นโทษมากกว่าผลดีในเด็กเล็กที่ต่ำกว่า 2 ขวบ ถ้าจะให้เด็กดูโทรทัศน์ในทุกๆ วัยผู้ปกครองควรจะมีส่วนร่วมไปด้วยซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ

ไม่อยากให้ลูกท้องผูกเรื้อรัง

ปัญหาท้องผูกเรื้อรังในเด็กมักจะเริ่มเกิดในช่วง วัยทารก โดยปกติมักเกิดตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการทานมกระป๋อง จะไม่พบในเด็กที่ทานนมแม่ ถึงแม้เด็กที่ทานนมแม่จะ 3-4 วันถ่าย 1 ครั้ง ก็ไม่เป็นท้องผูก จึงควรส่งเสริมให้ลูกได้ทานนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 4 เดือน
นมผงบางชนิดทำให้ท้องผูกง่าย

เมื่อกเกิดอาการท้องผูกขึ้นมาควรรีบแก้ไขโดยอาจจะลองเปลี่ยนยี่ห้องของนมผง และให้น้ำลูกพลุนทานร่วมด้วย บางครั้งการแพ้โปรตีนในนมวัว ก็ทำให้เกิดท้องผูกได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เมื่อเริ่มเกิดอาการท้องผูกขึ้นมาแล้วยังแก้ไขไม่ได้


ในกรณีที่เป็นม้องผูกเรื้อรัง ควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าลูกจะทานผักและผลไม้ได้เอง และค่อย ๆ ลดยาลงมาจนสามารถเลิกยาได้ ซึ่งแปลว่าลูกหายจากท้องผูก โดยปกติการทานยาโรคท้องผูกเรื้อรังต้องใช้เวลารักษา ประมาณครึ่งหนึ่งของระยะเวลาที่ท้องผูก จึงต้องหมั่นทานยาจนกว่าจะดีขึ้น

สุนัขจิ้งจอกฟันดำ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่กระต่ายอาศัยอยู่กับลูก ๆ 7 ตัว ในป่าใหญ่ วันหนึ่งแม่กระต่ายต้องออกไปหาอาหารนอกบ้าน จึงบอกกับลูก ๆ ว่า อย่าเปิดประตูให้คนอื่นนอกจากแม่เท่านั้น ! ต่อมาไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก !!! จากนั้นก็มีเสียงที่แหบแห้งพูดว่า “ แม่กลับมาแล้วจ้ะ





ปรากฏว่าเป็นเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวร้ายนั่นเองไม่ใช่แม่กระต่าย แต่ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งของสุนัขจิ้งจอกลูกกระต่ายทั้งหลายจึงไม่เชื่อ เจ้าสุนัขจิ้งจอกรู้อย่างนั้นแล้วจึงพยายามพูดจาเสียงอ่อนหวานเพื่อให้ลูก กระต่ายเชื่อว่าแม่กลับมาแล้วจริง ๆ บรรดาลูกกระต่ายจึงบอกกับเจ้าสุนัขจิ้งจอกว่า

“ ไหนยื่นหน้ามาให้ดูหน่อยว่าเป็นแม่จริงหรือเปล่า? ”

พอเจ้าสุนัขจิ้งจอกยื่นหน้าเข้ามา บรรดาลูกกระต่ายก็พากันตกใจกับฟันแหลม ๆ ดำ ๆ ของเจ้าสุนัขจิ้งจอก ลูกกระต่ายตัวหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

“ นี่ไม่ใช่แม่ของเราแน่แน่ แม่ของเราฟันขาวสะอาด ”

“ นี่ต้องเป็นสุนัขจิ้งจอกฟันดำอย่างแน่นอน ” เจ้าลูกกระต่ายอีกตัวหนึ่งพูดขึ้น

เจ้าสุนัขจิ้งจอกจึงถูกจับได้ว่าปลอมเสียงมาหลอก ลูกกระต่ายจึงสอนให้เจ้าสุนัขจิ้งจอกมารู้จักการแปรงฟัน และยื่นแปรงสีฟันให้ ลูกกระต่ายทั้ง 7 ตัว จึงพากันแปรงฟันให้เจ้าสุนัขจิ้งจอกดู เจ้าสุนัขจิ้งจอกแปรงฟันตามลูกกระต่าย ฟันของเจ้าสุนัขจิ้งจอกขาวขึ้นทันตา


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๐ เด็กดีต้องหมั่นแปรงฟัน อย่างน้อยวันละ 2 หน เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า และก่อนเข้านอนในตอนกลางคืน

กบเลือกนาย




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีกบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง อย่างอิสระเสรี และมีความสุข ไม่มีใครบังคับเคี่ยวเข็ญ กิน นอน เล่น ไปวันวัน ทำให้รู้สึกว่าพวกตนช่างมีความสุขสบายเหลือเกิน





ต่อมาวันหนึ่งพวกกบได้มานั่งล้อมวงคุยกัน ต่างปรึกษากันว่าการอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ น่าจะมีหัวหน้า หรือ พระราชาปกครองพวกเราสักคน นอกจากจะทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วยังช่วยคุ้มครองอันตราย ให้กับพวกกบได้อีกด้วย กบทั้งหลายต่างมีความเห็นตรงกันจึงพากันไปขอหาเทวดาขอพรให้เทวดาช่วยส่งหัว หน้า หรือพระราชามาให้





เทวดารู้ว่าพวกกบสุขสบายกันจนเคยตัวก็เลยนึกอยากมีหัวหน้าไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดจริงจังอะไร จึงเสกท่อนซุงให้หล่นจากฟ้าตกลงสู่หนองน้ำเสียงดังโครมใหญ่ พวกกบพากันตกใจกลัวรีบดำหนีไปหลบก้นสระ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงพากันโผล่ขึ้นมา





พวกกบทั้งหลายได้เห็นซุงท่อนใหญ่ก็รู้ว่าเป็นพระราชาที่เทวดาประทานมาให้ ต่างพากันดีใจและให้ความเคารพท่อนซุงนั้น





ต่อมาไม่นานมีกบตัวหนึ่งใจกล้ากระโดดขึ้นไปเกาะบนท่อนซุงใหญ่ กบตัวอื่นๆเห็นว่าพระราชาของตนไม่ว่า อะไรก็พากันกระโดดตามขึ้นไปบ้าง

“พระราชาของเราองค์นี้ท่านก็ใจดีอยู่หรอก แต่อ่อนแอไม่เอาไหน วัน ๆ ได้แต่ ลอยไป ลอยมา...น่าเบื่อ” กบตัวหนึ่งกล่าวอย่างหมดความยำเกรง

“พวกเราน่าจะไปร้องขอพระราชาองค์ใหม่ที่เข้มแข็งกว่านี้มาปกครองพวกเราดีกว่า” กบอีกตัวพูด

พวกกบจึงพากันไปร้องขอต่อเทวดา เทวดาเห็นว่าพวกกบทำแบบนั้น จึงโกรธพวกกบที่ไม่รู้จักพอใจ ในความเป็นอยู่ที่แสนสุขสบายของตน คราวนี้เลยส่งนกกระสาไปแทนท่อนซุง เมื่อนกกระสาลงไปก็จับพวกกบกิน เป็นอาหาร ตัวแล้วตัวเล่า พวกกบหายไปทีละตัวทีละตัว เมื่อได้รับความเดือดร้อนพวกกบ ที่เหลืออยู่จึงพากัน ขอพระราชาองค์ใหม่จากเทวดาอีกครั้ง

“เมื่อเจ้าไม่พอใจสภาพความเป็นอยู่เดิมของตัวเอง ก็จงทนอยู่กับสภาพที่พวกเจ้าร้องขอไปเถอะ... ”เทพเจ้าตวาดเสียงดังลงมาจากฟากฟ้า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :เราควรพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่...การไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี เที่ยวร้องขอในสิ่งที่ต้องการไม่รู้จักจบสิ้น ย่อมเกิดผลร้ายตามมา

กระต่ายกับเต่า




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่ามันวิ่งได้เร็วมาก จนหลงตัวเองว่าในป่าแห่งนี้ไม่มีใครวิ่งเร็วชนะตนเองได้ วันหนึ่งกระต่ายเดินร้องเพลงมาอย่างสบายใจ และพบกับเต่าเข้า เห็นเต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านหน้าไป กระต่ายจึงพูดกับเต่าว่า

“มัวแต่คลานต้วมเตี้ยมอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะถึงบ้านล่ะ แบบนี้ข้าว่า...ข้าต่อให้เจ้าคลานล่วง หน้าไปก่อนสักครึ่งวันข้าก็วิ่งตามทัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กระต่ายหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าเต่า

“ข้าก็คลานของข้าแบบนี้ของข้ามาตั้งนานแล้ว” เต่ารู้สึกไม่พอใจที่กระต่ายพูดจาแบบนั้นใส่ตน แล้วพูดต่ออีกว่า “กระต่าย หลงตัวเองอย่างเจ้า ไม่เห็นว่าจะเก่งตรงไหนดีแต่โม้ไปวันวัน”

กระต่ายผู้ทะนงในความวิ่งเร็วของตนเองเห็นเต่าพูดจาอย่างนั้น จึงพูดขึ้นว่า

“งั้นแน่จริงกล้าวิ่งแข่งกับข้าไหมล่ะ? เจ้าเต่าต้วมเตี้ยม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่กล้าล่ะสิ”

เต่าตอบทันควันว่า “ตกลง...เรามาวิ่งแข่งกัน ใครถึงเส้นชัยก่อนคนนั้นชนะ” กระต่ายแทบไม่เชื่อ หูตัวเอง

“เจ้านะเหรอกล้าท้าแข่งกับข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าต่อให้เจ้าก่อนก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ทันใดนั้นเจ้านกน้อยบินผ่านมาพอดีเต่าและกระต่ายจึงขอให้นกน้อยเป็นกรรมการ ตัดสินให้ เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น กระต่ายวิ่งออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วสุดฝีเท้านำเต่าไปก่อน พอถึงกลางทางหันกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นแม้แต่เงาของเต่า เจ้ากระต่ายจึงนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนเผลอหลับไป

ส่วนเจ้าเต่ายังคงคลานต้วมเตี้ยมๆอย่างไม่ย่อท้อ โดยมีเพื่อนสัตว์ป่าส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ เนื่องจากเพื่อนทุกตัวไม่ชอบนิสัยของเจ้ากระต่ายขี้คุย

เจ้าเต่ายังคงคลานต่อไปจนแซงหน้ากระต่ายที่มัวแต่ นอนหลับอยู่ เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเจ้าเต่าคลานจะถึงเส้นชัยแล้ว มันรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหวังจะไล่ให้ทัน แต่ก็สายไปเสียแล้ว พวกสัตว์ป่าต่างห้อมล้อมเข้าไปแสดงความยินดีกับเต่าตัวแรกที่สามารถเอาชนะ กระต่ายได้ในการวิ่งแข่งขัน เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความประมาทเป็นบ่อเกิดของความพ่ายแพ้และผิดหวัง ,ความพยายามอยู่ที่ไหนความ สำเร็จอยู่ที่นั่น

เด็กเลี้ยงแกะ




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งมีนิสัยเกเร ชอบพูดโกหก วันหนึ่งหลังจากต้อนฝูงแกะ ออกไปกินหญ้าบริเวณเชิงเขาแล้ว เกิดนึกสนุกอยากหาเรื่องแกล้งชาวบ้านเล่น จึงเดินกลับมาที่หมูบ้าน เมื่อใกล้จะ ถึงจึงแกล้งวิ่งหน้าตื่น ร้องตะโกนเสียงดัง “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย ฝูงหมาป่าจะมาจับแกะไปกินหมดแล้ว”

เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้น จึงพากันรีบวิ่งมาช่วยพร้อมถือมีด ไม้ และอาวุธต่าง ๆ มาด้วยเเต่เมื่อมาถึงก็ไม่พบ หมาป่า เด็กเลี้ยงแกะเห็นชาวบ้านวิ่งกันมาเก้อจึงส่งเสียงหัวเราะอย่างตลกขบขัน ชาวบ้านรู้สึกไม่พอใจแต่เห็น ว่าเป็นเด็กจึงให้อภัย





เด็ก เลี้ยงแกะยังคงไม่รู้สึกอะไร เห็นเป็นเรื่องสนุกยังคงหลอกให้ชาวบ้านวิ่งหน้าตาตื่นเหมือนเดิมอีก หลายครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งมีหมาป่ามาไล่กินเเกะจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงเเกะ ตะโกนขอความ ช่วยเหลือแต่ไม่มีใครมาช่วยอีกเลยเพราะคิดว่าเด็กเลี้ยงแกะโกหก


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : คนพูดโกหกจนติดเป็นนิสัยจะไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนคนนั้น

ราชสีห์กับหนู




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ราชสีห์รู้สึกง่วงมากจึงล้มตัวลงนอนพักผ่อนใต้ ต้นไม้ ในขณะที่มันกำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะมีเจ้าหนูตัวหนึ่งปีนขึ้นไปเล่นบนหลังของราชสีห์ ด้วยความไม่รู้ว่าเป็นร่างของเจ้าป่า

ราชสีห์ร้องคำรามด้วยความโกรธ และกล่าวว่า “เจ้าหนู...เจ้าบังอาจมาก ตัวเล็กนิดเดียวกล้าขึ้นมา เล่นบนหลังข้า” แล้วราชสีห์ก็ยกอุ้งเท้าขึ้นตะปบเจ้าหนูไว้ หวังจะฆ่าเจ้าหนูตัวนั้นให้ตาย

แต่เจ้าหนูได้ร้องขอชีวิตและพูดว่า “ท่านเจ้าป่า...โปรดอย่าฆ่าข้าเลย...ข้าน้อยผิดไปแล้วโปรด ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด... ข้าน้อยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อไปจะไม่ทำอีก”

ราชสีห์ได้ฟังเจ้าหนูอ้อนวอนดังนั้น จึงสงสารเลยให้อภัยและปล่อยตัวเจ้าหนูไป เพราะเป็นถึงเจ้าแห่งสัตว์ป่า ไม่อยากรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า

เจ้าหนูจึงกล่าวว่า “บุญคุณที่ท่านไว้ชีวิตข้าครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย หากมีโอกาสข้า จะต้องช่วยเหลือท่านเป็นการตอบแทน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ราชสีห์หัวเราะเสียงดัง “ตัวกระเปี๊ยกอย่างเจ้าจะช่วยอะไรข้าได้ ไปให้พ้นข้าจะนอน” เจ้าหนู จึงเดินจากไป

หลังจากนั้นไม่นานในเย็นวันหนี่ง ราชสีห์กำลังออกล่าเหยื่อกลับพลาดไปติดกับดักของนายพราน แต่ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้จึงส่งเสียงคำรามลั่นป่า เมื่อเจ้าหนูได้ยินก็จำได้ว่าเป็นของราชสีห์ จึงรีบมาดู

เจ้าหนูกระซิบกับราชสีห์ว่า “อย่ากลัวไปเลยท่าน ข้ามาช่วยแล้ว”

จากนั้นเจ้าหนูก็ใช้ฟันอันแหลมคมกัดเชือกจนขาด และราชสีห์ก็หลุดจากกับดักที่นายพรานทำไว้เป็นอิสระ ราชสีห์กับหนูจึงตกลงจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันและเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การให้อภัยผู้อื่นเป็นผลดีแก่ตัวเอง อย่าดูถูกคนที่ด้อยกว่าเพราะทุกคนต้องช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกัน

แม่กบกับวัว




ณ บึงแห่งหนึ่งมีแม่กบขี้อิจฉาอยู่ตัวหนึ่ง จะมีนิสัยที่เห็นใครดีกว่าตนแล้วก็จะรู้สึกไม่ชอบใจ จะต้องหา ทางข่มว่าตนนั้นเหนือกว่าอยู่เสมอเลยทีเดียว ลูกๆของกบก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของตนเป็นเช่นนั้นได้ อย่างไร...แต่ด้วยนิสัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็มักจะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ อยู่มาวันหนึ่งลูกๆ ของกบตัวนั้นได้หนี ไปแอบนอนเล่นอยู่ที่บึงแห่งหนึ่งที่ไกลออกไป แล้วพวกมันก็ได้เห็นวัวตัวหนึ่งมากินน้ำอยู่ที่ใกล้ๆกับบึงที่ พวกตนได้แอบมานอนเล่นอยู่บึงนั้น พวกลูกกบรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะเกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้เห็นสัตว์ ที่ ตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของมัน..พวกลูกกบด้วยความตื่นเต้นจึง รีบกลับไปหาแม่...และรีบเล่า เรื่องราว ที่พวกตนได้เห็นมานั้นให้ฟังอย่างตื่นเต้นด้วยสุดที่จะระงับได้...





มันรีบเล่าอย่างตื่นเต้นถึงสัตว์ประหลาดตัวนั้นว่า ' แม่ ๆเมื่อตะกี้นี้นะ...ที่บึงฝั่งโน้นน่ะ มีสัตว์อะไรก็ ไม่รู้ ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลยหละ...ตัวใหญ่มาก...ใหญ่จริง ๆ...ฮะ ฮะ ฮะ ' แม่กบเมื่อมันเห็นลูก ๆตื่นเต้น แบบสุด ๆอย่างนั้น ก็ให้เป็นรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเป็นอย่างมาก จึงบอกกับลูกว่า ' นี่ นี่ลูก ไม่มีสัตว์ตัว ไหนที่จะใหญ่ไปกว่าท้องที่เป่าจนพองของแม่ไปได้หรอกเชื่อสิ...ลูกเอ๋ย '





บอกลูกแล้ว แม่กบก็เบ่งท้องของมันจนป่องกลมแล้วตะโกนถามลูกว่า ' ดูแม่นี่ ตัวแม่ใหญ่เท่ากับสัตว์ ที่พวกเจ้าเห็นมาเหมือนกัน? ' ลูกกบทำมือเปรียบเทียบแล้วบอกกับแม่ว่า ' แม่เอาอะไรมาพูดจ๊ะ...ตัว แม่ทั้งตัวยังเล็กกว่าเท้าของมันเลย ' แม่กบจึงโกรธและด้วยแรงอิจฉามันยิ่งพยายามเบ่งท้องของมัน ให้ใหญ่ขึ้นไปอีก...ใหญ่ขึ้น ๆๆ...แล้วถามพวกลูก ๆขึ้นอีกว่า ' นี่ล่ะ เท่านี้ล่ะ ใหญ่เท่าหรือยัง? ' แต่พวกลูก ๆก็ยังตอบว่า 'ยังเลยแม่...ใหญ่กว่านี้อีก '





แม่กบเมื่อได้ยินลูกบอกว่า ยังไม่ใหญ่เท่าที่เห็นพอ มันจึงรวบรวมพลังเข้าไปอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้งเบ่งท้องของมันอย่างสุดกำลังเกิดเลยทีเดียว...เรียกว่าครั้งนี้เป็น ครั้งที่มันได้พองลมครั้งที่ ใหญ่ที่สุดในชีวิตของมันก็ว่าได้' โอบ โอบ...นี่ล่ะเป็นไง?ใหญ่กว่าแล้วใช่ไหม? ' ลูกกบก็ยังส่ายหัว ตอบว่า ' แม่จ๋าเปลืองแรงปล่าว ๆ ยังไง ๆก็เล็กกว่าจ๊ะ ' แม่กบหน้าเขียวและคิดไม่ยอมแพ้แต่ท้องที่ พองจนเต็มที่นั้นไม่สามารถที่จะขยายต่อไปได้อีกแล้ว จึงแตกดังโพ๊ละ ลูกกบก็ส่ายหัวและพูดตามประสา ซื่อว่า 'แหวะ..ท้องแม่นอกจากจะไม่ใหญ่แล้ว ยังแตกเป็นรู น่าเกลียดจัง พวกเราปล่อยแม่ให้แกเบ่งของ แกต่อไปอย่างนั้นเถอะ' แล้วลูกกบก็พากันชวนพี่ๆน้องๆไปแหวกว่ายน้ำ ในบึงกันต่อไป....


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๐ ความสามัคคีกลมเกลียว จะทำให้เกิดพลังอันแข็งแกร่งยากแก่การทำลาย

สองพ่อลูกผู้โง่เขลากับลา




ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีสองพ่อลูกคนโม่แป้งเป็นเจ้าของโรงสีแต่ยากจนมากอยู่ ครอบครัวหนึ่ง และปีนี้ด้วย จะเป็นเพราะเคราะห์หามยามร้าย บรรดาลให้ต้องหนักขึ้นมามากกว่าเก่าเข้าไปอีก เพราะเท่าที่ผ่านมาก็ จนแสนที่จะจนอยู่แล้ว และยังมาปีนี้ ด้วย ฝนฟ้าก็ไม่ยอมตกลงมาให้เลยสักนิด พื้นดินจึงเกิดความแห้ง แล้ง และจึงเป็นผลให้ต้นข้าวสาลีที่เมื่อก่อนพอจะมีพวกชาวนานำมาโม่เป็นแป้งนั้น อยู่บ้าง ก็เกิดเหี่ยวเฉาและ ตายเสียจนหมดทุกไร่ไป สองพ่อลูกจึงต้องหนักใจด้วยไม่มีใครนำข้าวสาลีมาสีเป็นแป้งเลยสักเจ้าเดียว ลูกชายได้พูดบอกกับพ่อว่า ' พ่อ ๆ แม้แต่แป้งที่จะมาทำเป็นขนมปังใช้กินกัน ก็หมดแล้วนะ จะทำยังไงดีล่ะ ' พ่อจึงพูดขึ้นว่า ' ต้นสาลีก็ตายหมด ไม่มีใครจะเอามาโม่แล้วด้วย เฮ่อ..กลุ่มใจดีแหละ แต่..เดียวก่อน เรายังมีลาอยู่นี่ไง ไม่มีแป้งโม่ เจ้าลานี่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมี เอาลานี่ไปขายแลกเอาเงินมาใช้กินกันดีกว่า '





เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว สองพ่อลูกจึงตัดสินใจที่จะนำลาตัวนั้นไปขายเสียที่ในเมือง ชายเจ้าของโรงสีและลูกชาย จูงลาเดินไปตามทางเรื่อย ๆ อากาศก็ร้อน แดดก็เปรี้ยงเสียด้วยวันนั้น สองพ่อลูกเดินจูงลาและเช็ดเหงื่อที่ไหล ย้อยลงมาอย่างไม่ยอมหยุดและเดินทางไปเรื่อย ๆ ในระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับพวกผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังซักผ้ากันอยู่ที่ริมแม่น้ำ ผู้หญิงในกลุ่มนั้นคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า 'ดูนั่นซิ' และยังชี้มือมาทางเจ้าของ โรงสี และลูกชาย ' ช่างโง่ชะมัดเลยทั้งสองคน....เธอว่าไหม ?'





เจ้าของโรงสีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็นึกโมโหที่เดินอยู่ดี ๆ ก็มีคนมาว่า ' ว่าโง่ชะมัด ' อย่างนั้น จึงตะโกนถาม ผู้หญิงคนที่พูดขึ้นนั้นว่า ' ทำไมการเดินจูงลาแล้วจะต้องเป็นคนที่โง่ชะมัดอย่างที่หล่อนว่านั้นด้วยเล่า ? ' ผู้หญิงคนนั้นจึงพูดว่า ' ก็ถ้าเป็นคนที่ฉลาด ๆละก็ ก็คงจะไม่ยอมเดินคลุกฝุ่นอย่างนั้นอยู่ได้น่ะสิ ทั้งๆที่คน หนึ่งน่าจะขี่หลังลา นั่งให้สบาย ๆ แต่ไม่ยักกะทำ พวกเราถึงได้ว่า ว่าโง่ชะมัดยังไงเล่า?' ผู้พ่อเมื่อได้ฟัง ดังนั้นก็เห็นด้วยกับผู้หญิงคนที่พูดนั้น เขาจึงบอกกับลูกชายว่า ' ที่ผู้หญิงคนนั้นพูดก็ถูกนะ ลูกขึ้นไปขี่ลาเถิด มา ขึ้นมา' ว่าแล้วเขาก็ช่วยลูกชายให้ขึ้นนั่งบนหลังลา แล้วทั้งสองคนเดินก็ทางกันต่อไป ในไม่ช้า สองพ่อลูก ก็พบหญิงชรานางหนึ่งมือถือไม้เท้า และกำลังจะเดินสวนทางมาทางสองพ่อลูกเข้าอีก





หญิงชรานางนั้นเมื่อเดินสวนมาถึงที่ใกล้ ๆ กับสองพ่อลูก แล้วอยู่ ๆ นางก็ยกไม้เท้าที่ถือมาในมือนั้นขึ้นเคาะไปที่ หัวของลูกชายที่นั่งอยู่บนหลังลาดัง ' ป๊อก ' แล้วพูดอย่างโมโหฉุนเฉียวว่า ' อ้าย คนเนรคุณ ! จอมขี้เกียจ สันหลังยาว อากาศร้อน ๆออกอย่างนี้ แทนที่จะให้พ่อผู้แก่ชรานั่งบนหลังลากับมานั่งเสียเอง ดูสิ ! แกนั่นแหละ ควรเป็นคนเดินไม่ใช่พ่อแก ' ลูกชายตกใจมากที่อยู่ดี ๆก็มาโดนเคาะหัวแล้วยังแถมโดนหญิงชราดุสั่งสอน เอาอย่างนั้นเข้าอีก แต่เขาก็คิดเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงชราผู้นั้น ' เอ ที่จริงหญิงชราผู้นั้นก็พูดถูกน่ะพ่อ' ลูกชายว่าแล้วก็กระโดดลงจากหลังลาแล้วเปลี่ยนที่ให้พ่อนั่งบนหลังลาบ้าง แล้วจึงเดินทางต่อไปอีก





เมื่อเดินทางต่อมาได้อีกไม่ไกลนัก ก็ได้พบกับคนเดินทางเดินสวนทางผ่านมา คนเดินทางผู้นั้นมองสองพ่อลูก แล้วพูดเปรย ๆให้ได้ยินทั้ง ๆหัวเราะว่า ' โง่ชะมัดเลยทั้งพ่อทั้งลูก ทั้ง ๆที่ร้อนออกอย่างนี้ มีลาอยู่ทั้งตัว ก็จะมามัวเดินจูงอยู่ทำไมก็ไม่รู้ ก็ขึ้นไปนั่งทั้งสองคนก็หมดเรื่อง ทำไมถึงโง่จริง ๆ เลย ฮ่า ๆๆๆ ' เจ้าของโรงสีและลูกชายก็เห็นด้วยตามที่คนเดินทางผู้นั้นพูดอีกนั่นแหละ ' คนเดินทางผู้นั้นพูดก็ถูกน่ะ' ผู้พ่อ ว่า แล้วเขาก็ช่วยให้ลูกชายขึ้นมานั่งลงที่ข้างหลังของเขา แล้วทั้งสองก็เดินทางต่อ โดยขึ้นขี่หลังลาไปด้วยกัน ทั้งสองคน





พวกเขาเกือบไปถึงเมืองแล้ว แต่ก็ยังได้ไปพบกับผู้ชายที่เป็นชาวนาคนหนึ่งเข้า 'นี่ลาของคุณหรือ' 'ใช่' เจ้าของโรงสี ตอบ 'เราจะเอาไปขายที่ตลาด คุณถามทำไมล่ะ' ชายชาวนาจึงตอบกลับมาว่า ' ก็ในไม่ช้า เจ้าลาที่น่าสงสารนี่ คงหมดแรงลงแน่ ๆ ถ้าต้องแบกคุณสองคนไปตลอดทาง เชื่อสิ ' ชายชาวนาคนนั้นตอบ ' แล้วตอนนั้นใครเขาจะ อยากซื้อมัน จริงไหม เราคิดว่าถ้าพวกท่านจะช่วยแบกมันแทนล่ะก็ น่าจะดีกว่านะ ' เจ้าของโรงสีและลูกชาย มองตากันและเห็นด้วยกับชาวนาคนนั้นที่พูดทักขึ้นทันที





' นี่ก็เป็นความคิดที่ดี' เจ้าของโรงสีเอ่ย แล้วเขาก็หาไม้และเชือกมา ช่วยกันผูกลากับไว้ท่อนไม้ และหามเจ้าลา เข้าไปในเมือง ผู้คนในเมืองไม่เคยเห็นสิ่งที่ตลกเท่านี้มาก่อนเลย 'ดูซิ' ชายคนหนึ่งร้อง 'พวกเขาพยายามหามลา' คนในเมืองพากันหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนน้ำตาไหล ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าลาบ้างแล้ว ลาไม่ว่าอะไรหรอกที่ต้องถูก หามแบบนี้ แต่มันไม่ชอบให้ใครมาหัวเราะเยาะ ดังนั้นมันจึงพยศขึ้น คือมันทั้งดิ้นสะบัดตัวและทั้งเตะทั้งถีบ จนในที่สุดเชือกก็เลยขาดออก แล้วบังเอิญตรงนั้นเป็นสะพานข้ามคลองเข้าพอดี ลาเลยตกลงไปในน้ำและจมหายไปในน้ำนั้นทันที เจ้าของโรงสีและลูกชายจึงจำต้องเดินหน้าเศร้ามือปล่าว กลับบ้านอย่างช่วยไม่ได้ และต้องเสียลาไปโดยปล่าวประโยชน์ ' พ่อไม่น่าพยายามจะทำให้ถูกใจทุกคนเลย' เขาบอกและถอนใจใหญ่ 'ในที่สุดก็ลงเอยว่า พ่อทำไม่ถูกใจใครสักคน พ่อว่าตอนนี้พ่อเองแหละที่โง่เหมือนลา'


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๐ ไม่รู้จักที่จะใช้มันสมองและความคิดของตัวเอง มัวแต่อาศัยและทำตาม ความคิดของชาวบ้าน สักวันหนึ่งก็จะต้องพบกับความเสียหาย อย่างสองพ่อลูกเข้าจนได้สักวัน

สุนัขจิ้งจอกกับนกกระสา




ครั้งหนึ่งมีนกกระสาที่เต้นรำเก่งมาก อยู่ตัวหนึ่ง นกกระสาตัวนี้จะออกมาเต้นรำให้ พวกสัตว์ป่าดูอยู่ด้วยความเพลิดเพลินอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งในทุก ๆ วัน มันมีความ ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่พวกสัตว์ป่าทั้งหลายได้ยกย่องให้มันว่าเป็นที่หนึ่งแห่งการเริงระบำ ของมวลสัตว์ต่าง ๆ และวันนี้ก็เช่นกันมันได้ออกมาเริงระบำอย่างที่เป็นมาตามปกติ แต่ คราวนี้หรือวันนี้...ได้เกิดมีความไม่เป็นปกติ เกิดขึ้นมาเข้าอย่างหนึ่ง คือได้มีสุนัขจิ้งจอกขี้อิจฉา ตัวหนึ่งได้ออกมาเลียนแบบ เต้นรำคู่ไปกับมันด้วยอยู่ข้าง ๆ เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้น่ะหรือ... มันเพียงแต่แค่นึกอิจฉานกกระสามากเป็นที่สุดเท่านั้นเอง...จึงได้ออกมาร่าย รำอวดสัตว์ป่าต่าง ๆบ้าง เพราะอยากที่จะได้คำชมบ้างเท่านั้นเอง แต่พวกสัตว์ป่าต่าง ๆ สิ ให้เป็นหวาดกลัวไปตาม ๆกัน เลยทีเดียว ' เจ้าสุนัขจิ้งจอกมันต้องหวังทำให้พวกเราเพลิดเพลินจนลืมตัว แล้วจับกินตอนนั้น อย่างแน่นอนเลย... ' พวกสัตว์ป่าทุกตัวเลยพากันวิ่งหนี วงแตกกระจายไปหมด







และเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นเข้า เจ้าสุนัขจิ้งจอกมันให้เป็นแค้นเคืองใจนกกระสาเป็นอย่างมาก 'โอ้ย เจ็บใจจังข้าจะเต้นรำเก่งน้อยไปกว่านกกระสาตัวนั้น จนพวกสัตว์ป่าต่าง ๆไม่อยากมองจนวิ่งหนีกัน ไปหมดอย่างนั้นได้ทีเดียวหรือนี่....ฮึ หมั่นใส่เจ้านกกระสาเสียจริง ๆ อย่างนี้ต้องแกล้งให้มันเจ็บใจเล่นบ้าง เห็นจะดี เหอ ๆๆๆ ' และเมื่อคิดได้ดังนั้น มันจึงทำเป็นไปผูกมิตรทำเป็นใจดี ชวนนกกระสามากินอาหาร ที่บ้านของมัน เจ้าสุนัขจิ้งจอกเอ่ยปากชวนนกกระสาว่า ' เราอยากจะเชิญท่านไปกินอาหารที่บ้าน ของเราสักหน่อย' 'ขอบใจมาก' นกกระสาจึงตอบรับ ' เรายินดีที่จะไป'







แต่เมื่อนกกระสามาถึงบ้านของเจ้าสุนัขจิ้งจอกแล้วนั้น มันได้พบว่าสุนัขจิ้งจอกได้ จัดอาหารที่จะเลี้ยงไว้ในจานแบน ๆ 2 จาน นกกระสาไม่สามารถที่จะกินอาหารในจาน นั้นได้ เพราะจะงอยปากของมันยาวนั่นเอง มันให้เป็นหนักใจเป็นอย่างมากกับอาหารใน จานแบน ๆ นั้น แต่มันก็พยามยามที่จะกินเพื่อไม่อยากให้เสียมารยาท โดยใช้จะงอยปาก ของมันจิกลงไปในจานนั้น จนน้ำซุปที่อยู่ในจานกระฉอกออกมาจนเลอะเทอะไปหมด แต่เจ้าสุนัขจิ้งจอก สิ..มันแอบมองแล้วสะแหยะยิ้มออกมาด้วยความสะใจเป็นอย่างมากที่สามารถแกล้งนก กระสาได้อย่างนั้น







เจ้าสุนัขจิ้งจอกแกล้งเฉยทำหน้าตาย กินอาหารในจานของมันอย่างสะดวกสบายและเอร็ดอร่อย ซ้ำยังกล่าวกับนกกระสาให้เจ็บใจเล่นอีกด้วยว่า ' อ้าว..ท่านไม่ชอบอาหารในจานของท่านหรอกหรือ? ถึงได้กินอย่างเสียมารยาทจนสกปรกเลอะเทอะแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นล่ะก้อ เราจะช่วยกินแทนให้ท่านเอง แล้วกัน..โห ๆๆๆ ' ดังนั้น เจ้าสุนัขจิ้งจอกจึงกินอาหารในจานของมันและรวมทั้งที่อยู่ในจานของนกกระสา เสียจนหมดอีกด้วย นกกระสาจึงกลับไปด้วยความหิวเพราะแทบจะไม่ได้กินอะไรเลยสักนิด ' เจ้าสุนัขจิ้งจอก มันต้องตั้งใจแกล้งเราอย่างแน่นอนเลยงานนี้ ฝากไว้ก่อนเถอะ คงมีสักวันที่ฉันจะต้องทำให้เธอได้เจ็บใจ บ้าง ฮึ'






ต่อมาจากนั้นไม่นาน นกกระสาก็ได้เขียนจดหมายชวญเชิญสุนัขจิ้งจอกให้มากินอาหารที่บ้านของตนบ้าง ' ท่านสุนัขจิ้งจอก เราอยากจะขอเชิญท่านมารับประทานอาหารที่บ้านของเราบ้าง เพื่อเป็นการ ตอบแทนในน้ำใจของท่าน ' เจ้าสุนัขจิ้งจอกด้วยมันกำลังหิวอยู่ตอนนั้น เลยลืมเรื่องที่มันเคยได้แกล้ง นกกระสาเอาไว้นั้นเสียสนิท เมื่อมันได้รับจดหมายชวญกินอาหารอย่างนั้นก็ให้เป็นดีใจ จึงรีบเดินทาง ไปที่บ้านของนกกระสาทันทีนั้นเลย







เมื่อมาถึง...นกกระสาได้เชิญให้สุนัขจิ้งจอกเข้ามาข้างในแล้ว มันก็ได้ยกอาหารที่ได้จัดเตรียมใส่ไว้ใน เหยือกคอสูงสองใบ ออกมาวาง คราวนี้จึงถึงคราวที่เจ้าสุนัขจิ้งจอก ไม่สามารถจะกินอาหารที่อยู่ ในเหยือกนั้นได้ มันจึงต้องเป็นฝ่ายต้องนั่งเฝ้าดู ขณะที่นกกระสากินอาหารในเหยือกทั้งสองใบนั้น อย่างเอร็ดอร่อย


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๐ ถ้าใช้เล่ห์กลกับบุคคลอื่นได้ คนอื่นก็อาจจะใช้เล่ห์กลอย่างเดียวกันได้เช่นกัน

บำรุงสมองลูกน้อย เมื่อไรดี

เรื่องของ “สมอง” นั้นสำคัญที่สุด โดย เฉพาะกับลูกน้อย ซึ่งปัจจัยสำคัญ “อาหาร” ที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของลูกน้อย

พญ.วรีรัตน์ ยมจินดา กุมารแพทย์ สาขาพัฒนาการ และพฤติกรรมเด็ก รพ.พญาไท 3 บอกว่า สมองของทารกมีการพัฒนาตั้งแต่อยู่ในท้องคุณแม่ ซึ่งจะแบ่งเซลล์เร็วมากในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด ฉะนั้น ต้องเริ่มบำรุงตั้งแต่ในครรภ์และบำรุงต่อเนื่องจนหลังคลอด โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรก ถ้าลูกได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอและเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง จะทำให้สมองมีการพัฒนาดีขึ้น

แน่นอนว่า “นมแม่” นั้นเป็น “อาหารที่ดีที่สุด” กุมารแพทย์ บอกต่อด้วยว่า ในช่วง 4-6 เดือนแรก นมแม่อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ทารกที่กินนมแม่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 2 เดือนขึ้นไปจะมีการเจริญเติบโตและมีขนาดสมองที่สมวัย มีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ และเชาวน์ปัญญา การรับรู้ การมองเห็น การใช้กล้ามเนื้อที่แตกต่างจากทารกที่ได้รับนมผสม

นอกเหนือจากนมแม่แล้ว ลองดูอาหารอื่นที่เหมาะสมในแต่ละวัยกันบ้าง

 4 เดือน

เลือกข้าวบดละเอียดใส่ไข่แดงต้มสุก สลับกับตับบด น้ำซุป กล้วยน้ำว้าขูด 2 ช้อนชา แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็นครึ่งถ้วย

 5 เดือน

เพิ่มเนื้อปลาต้มสุกและผักต้มเปื่อยประมาณครึ่งถ้วย ปลาต้มควรยีให้ยุ่ย อย่าให้มีก้างเหลือ ถ้าเด็กแพ้อาหารทะเล เลือกปลาน้ำจืดแทนก็ได้

 6 เดือน

เพิ่มเนื้อสัตว์ สับละเอียด รวมทั้งไข่ไก่ และข้าวบดที่หยาบขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1 ถ้วย

 7 เดือน

ลูกสามารถกินผลไม้ได้บ้างแล้ว ควรเลือกผลไม้ย่อยง่าย เช่น กล้วย มะละกอสุก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ฝึกให้ลูกเคี้ยว แต่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

 8-9 เดือน

ลูกเริ่มมีฟันขึ้น 3-4 ซี่ สามารถกินอาหารเนื้อหยาบกว่าเดิมได้ คุณแม่สามารถให้อาหารเสริมได้ 1-2 มื้อ

 10-12 เดือน

อาหารเสริมเพิ่มเป็น 3 มื้อ อาหารว่างวันละ 1 มื้อ หลังจากอายุ 6 เดือน จำนวนมื้อของนมแม่จะลดลง เมื่ออายุ 1 ปี อาหารเสริมจะกลายเป็นอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ และนมแม่ วันละ 3-4 มื้อ

 1-3 ปี

หัดให้กินข้าวสวยหุงนิ่ม เหมือนผู้ใหญ่ได้แล้ว แต่ไม่ควรปรุงรส และควรให้อาหารว่างระหว่างมื้อด้วย เช่น น้ำผลไม้กับแพนเค้ก หรือ เลือกผลไม้ที่ลูกชอบ เช่น มะม่วงสุก ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง

อาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาการของลูกน้อยอย่างยิ่ง เลือกให้เหมาะสมเพื่อให้ลูกได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

ปริมาณอาหารต่อวันที่เหมาะสมกับเด็ก

คำถาม

ตอนนี้ลูกอายุ 1 ขวบ ไม่ทราบว่าปริมาณอาหารและนมที่ควรได้รับในแต่ละวัน ต้องให้เท่าใดถึงจะเพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันลูกกินข้าว 3 มื้อ แต่กินมื้อละนิดหน่อย นมวันละประมาณ 16 ออนซ์

คำตอบ

อย่าไปกังวลกับปริมาณมากนักครับ พยายามสนใจคุณภาพอาหารที่ให้น่าจะดีกว่า อย่าให้กินของที่ไม่มีประโยชน์ของจุบจิบ ของกินเล่น พยายามให้กินของที่มีประโยชน์จริงๆ จังๆ 3 มื้อ และนมพยายามให้ดื่มจากแก้วเท่านั้นเองครับ ปัญหาที่พบบ่อยคือ พ่อแม่คอยกังวลเรื่องปริมาณที่เขากินแล้วก็ไปเพิ่มนม เพิ่มของจุบจิบซึ่งเป็นผลเสีย

อาหารเพิ่มน้ำหนักลูก

คำถาม
ลูกสาวอายุ 1 ขวบ 20 วัน น้ำหนักแรกคลอด 3,143 กรัม ปัจจุบันน้ำหนัก 7.8 กิโลกรัม ก่อนหน้านี้หนัก 8.5 กิโลกรัม แต่ป่วยเป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบมาประมาณ 1 อาทิตย์ ทำให้น้ำหนักลดลง ซึ่งเดิมน้ำหนักก็น้อยอยู่แล้ว มาป่วยทำให้ถ่ายและอาเจียน ทานข้าวไม่ได้ ปัจจุบันทานนมแม่ กลางวันจะทานจากขวดนม วันละไม่เกิน 8 ออนซ์ กลางคืนจะทานจากแม่ ข้าวทานวันละไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ ต้องการเพิ่มน้ำหนักจะทำอย่างไรดีคะ

คำตอบ

รอให้ถ่ายเหลวหายสนิท กลับมาทานอาหารตามธรรมดาก่อน แล้วจึงค่อยปรับลดนมขวดลง ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าทานนม 8 ออนซ์กี่มื้อ ถ้าวันละ 2-3 มื้อ ก็ถือว่ามากแล้ว ลดนมลงได้เลย ให้อาหารที่มีแคลอรีเพิ่มขึ้น นม 8 ออนซ์ 2-3 มื้อนั้น อาจเปลี่ยนเป็นนมที่ให้พลังงานมากขึ้น เช่น พีเดียชัวร์ ข้าวต้มอาจมีกระเทียมเจียวปนมากขึ้น ไข่เจียวน้ำมันมากขึ้น เป็นต้นครับ ไม่แนะนำวิตามิน หรืออาหารเสริมใดๆ ถ้าไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าขาดครับ

วาฟเฟิล คุณหนู

สัปดาห์นี้ “จานโปรด” ก็ไม่ลืมที่จะหาของว่าง มาเผื่อคุณหนูๆ กับเมนูที่มีชื่อว่า “วาฟเฟิลคุณหนู” ก่อนอื่นต้องไปเตรียมครื่องปรุง และส่วนผสมกันก่อนค่ะ

ส่วนผสม

 แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/2 กิโลกรัม
ไข่ไก่ 3 ฟอง
เนยสด 1/4ก้อน (ละลายแล้ว)
น้ำตาลทราย 200 กรัม
นมสด 1/2 กระป๋อง
โยเกิร์ต 1/4 กระป๋อง
ผงฟู
เกลือ

ลงมือเข้าครัว

1.นำส่วนผสมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแป้งสาลี ไข่ไก่ เนยสดที่ละลายแล้ว น้ตาลทราย นมสด โยเกิร์ต มาผสมกัน ตามด้วยผงฟูและเกลืออย่างละนิดหน่อย จากนั้นใช้ตะกร้อตีให้เข้ากัน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

2.จากนั้นนำแป้งที่ได้ไปอบในเตาวาฟเฟิล คอยสังเกตว่าผิวแป้งเริ่มเป็นสีน้ำตาล หรือไม่ลองนำไม้จิ้มฟันจิ้มลงไปที่แป้ง หากไม่มีเนื้อแป้งติดขึ้นมา แสดงว่าสุกแล้ว

3.เมื่อสุกแล้ว พักไว้ในจาน ก่อนเสิร์ฟราดด้วยแยมรสชาติถูกใจ หรือจะแต่งหน้าด้วยผลไม้แห้งก็ได้ ตามชอบ

จานนี้อาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่รับรองอร่อยแน่ค่ะ…

พูดคุยกับลูกในเรื่องเพศ

เรื่องเพศเป็นปัญหาที่พ่อ แม่ค่อนข้างหนักใจและกังวลว่าลูกจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับวัยโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในวัยรุ่น วัยที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาว

พ่อแม่จึงมีหน้าที่ต้องสื่อสารให้ลูกเข้าใจว่า เรื่องเพศไม่ใช่เพียงเรื่องบนเตียง หรือการมีเพศสัมพันธ์ แต่สิ่งสำคัญคือการมีความรู้ความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้องเหมาะสม ทั้งในด้านการแสดงออกทางเพศ การปฏิบัติต่อเพศตรงข้าม โดยควรเน้นให้ลูกชายเคารพศักดิ์ศรีของเพศหญิงไม่เอารัดเอาเปรียบ ทำร้ายทารุณ ส่วนลูกสาวเน้นให้เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของตน รวมถึงสิทธิและการป้องกันภัยทางเพศที่อาจเกิดขึ้น

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญและสื่อสารให้ลูกเข้าใจและมีทัศนคติที่เหมาะสมเพื่อเป็นรากฐานที่ดีให้กับลูก

สร้างภูมิคุ้มต้านทานให้ลูก อยู่กับเชื้อโรคอย่างปลอดภัย

ควันหลงจากปีที่แล้ว โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จัดงานเสวนาเรื่อง “อยู่กับเชื้อโรคอย่างปลอดภัย” เพื่อให้พ่อคุณแม่และลูกน้อยอยู่กับเชื้อโรคอย่างปลอดภัย พร้อมเชิญชวนผู้สนใจข้อมูลข่าวสารเพื่อการเลี้ยงลูกและดูแลสุขภาพ สอบถามได้โทร.0-2667-1000 หรือคลิกที่ www.bumrungrad.com

จรรยา จารโยภาส พยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ กล่าวว่า การอยู่กับเชื้อโรคอย่างปลอดภัยจะต้องทำความเข้าใจเชื้อโรค วิธีการที่จะรับมือกับเชื้อโรคเหล่านั้น สิ่งที่เป็นเรื่องกังวลเกี่ยวกับเชื้อโรค คือต้องกลัวเชื้อที่ก่อโรค ไม่ใช่กลัวเชื้อโรค เพราะในชีวิตจริงเราหนีเชื้อโรคได้พ้น เพราะมีอยู่รอบตัวทั้งแบคทีเรีย เชื้อราและไวรัส

“เด็กจะได้รับภูมิคุ้มกันเชื้อโรคจากแม่ และการสร้างขึ้นเองจากการสัมผัสเชื้อโรคที่ละเล็กทีละน้อย การที่แม่เป็นคนสะอาดเกินไปจะตัดวงจรการสร้างภูมิคุ้มกันของลูกหรือทำให้ เชื้อโรคเกิดการดื้อยา เช่น การทำความสะอาดสิ่งของที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อ หรือแม้แต่การปกป้องไม่ให้ลูกสัมผัสสิ่งของอะไรเลย เป็นต้น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคเป็นการป้องกันเชื้อโรคได้เพียงเศษ 1 ส่วนล้านเท่านั้น สิ่งที่ควรทำคือ การสร้างภูมิคุ้มต้านทานให้กับลูกด้วยตัวเขาเอง”

คุณจรรยา กล่าวต่อว่า การทำความสะอาดเชื้อโรคบริเวณนั้นๆ เชื้อโรคตายเพียง 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เกิดขึ้นอีก เพราะมาจากอากาศและซ้ำกลายเป็นเชื้อโรคพิการหรือดื้อยาจากยาฆ่าเชื้อโรค สังเกตจากเมื่อเป็นไข้หวัดในอดีตรักษาเพียง 3 วันก็หาย แต่ปัจจุบันต้องรักษาตัวถึง 2 สัปดาห์ และยารักษาโรค 1 ชนิดกว่าจะคิดค้นใช้เวลาถึง 2 ปี เชื้อโรคก็ดื้อยาแล้ว ดังนั้นวิธีการที่จะอยู่ร่วมกับเชื้อโรคได้ต้องหันมาดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม รอบๆ เช่น รักษาความสะอาดบ้านไม่ให้ชื้นแฉะ อย่างห้องครัว เฟอร์นิเจอร์ โดยทำความสะอาดเพียงวันละครั้ง บริเวณใดที่มีการอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ให้ทำความสะอาดในบริเวณดังกล่าวและบริเวณรอบๆ ในรัศมีเพียง 1 เมตรก็เพียงพอ

“ในบ้านแอร์และพรมเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี เวลาลูกคลานควรใส่ผ้าหรือถุงมือป้องกันการสัมผัสกับเชื้อโรค และนำผ้าไปซักและตากแดดฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเวลาที่ดีที่สุดคือ 08.00-10.00 น. และเมื่อมีการดูแลสิ่งแวดล้อมของลูกแล้ว ควรล้างมือและอวัยวะที่ไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมของผู้เป็นพ่อแม่ด้วย เพราะเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทาง คือ การสัมผัสโดยตรงและการสัมผัสโดยอ้อม ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก อาทิ การล้างมือและการใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกเมื่อเป็นไข้หวัด”

หลักการล้างมือ คือ การเอาพื้นผิวของมือสัมผัสกันให้มากที่สุด จากนั้นเช็ดมือให้แห้ง โดยใช้สบู่ธรรมดา ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างมือที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อโรคมากเกินไป เพราะทำให้เชื้อโรคดื้อยา ส่วนการใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกเมื่อเป็นไข้หวัด ช่วยให้เชื้อโรคไม่ลุกลาม วิธีใช้ผ้าต้องเอาด้านที่เป็นสีออกด้านนอก ซึ่งแต่สีของผ้าปิดปากบอกถึงจำนวนชั้นกระดาษในกรอง เช่น สีเหลืองมีกระดาษกรอง 2 ชั้น สีเขียว 3 ชั้น และสีฟ้า 4 ชั้น

คุณแม่มือใหม่ควรรู้

ในระหว่างที่คุณแม่กำลัง ตั้งครรภ์นั้น สารอาหารเป็นสิ่งสำคัญในการเจริญเติบโตของเด็กในท้อง ทำให้ความต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น แต่คุณแม่ทั้งหลายไม่จำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น เพียงแต่เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากที่สุดเพื่อให้ได้สารอาหารตาม ความต้องการ

โปรตีน

ระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่ต้องการโปรตีนเพิ่มขึ้น คุณแม่อาจเพิ่มโปรตีนจากอาหารปกติที่เคยรับประทานก่อนการตั้งครรภ์ เช่น เพิ่มเต้าหู้หรืออาจจะดื่มนมเพิ่มขึ้น

แคลเซียม

แคลเซียมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับการสร้างกระดูก ฟัน และการทำงานของกล้ามเนื้อ คุณแม่จึงต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้น เพราะถ้าคุณแม่ได้แคลเซียมไม่เพียงพอ ลูกจะดึงแคลเซียมจากกระดูกของแม่มาใช้

ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณแม่ขณะตั้งครรภ์มีความต้องการสูง เพื่อช่วยสร้างเม็ดเลือดให้กับลูกในท้อง ถ้าคุณแม่ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ จะทำให้คุณแม่เป็นโรคโลหิตจาง อ่อนเพลีย ซีด และลูกที่เกิดมาอาจเป็นโรคโลหิตจางได้

วิตามินและเกลือแร่

วิตามินมีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ซึ่งสามารถหาได้ในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือสีส้ม เช่น แครอท ฟักทอง ผักใบเขียวจัด เช่น คะน้า ผักโขม ผักบุ้ง บร็อคเคอลี นอกจากนี้คุณแม่ควรเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีด้วย เช่น กะหล่ำปลี มะเขือเทศ มะนาว ส้ม มะละกอ เป็นต้น เพราะวิตามินซีจะช่วยการดูดซึมของธาตุเหล็กให้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน และป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

เมื่อทราบแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อยของคุณ

พ่อแม่ กับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของลูก

ความคิดสร้างสรรค์ของลูก เป็นสิ่งที่ผู้เป็นพ่อแม่ สามารถช่วยพัฒนาได้ โดยหากจะพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของลูกนั้น เราจะต้องกระตุ้นให้ลูกใช้สติปัญหาในการคิดแก้ปัญหาให้มากที่สุด

แต่การจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์นั้น ควรเป็นไปตามแบบแผนที่เป็นระบบชัดเจน เพื่อให้สมองเกิดพัฒนาการ และสามารถนำไปสู่เป้าหมายที่จะก่อร่างระบบความคิดได้นั่นเอง

เด็กจะสามารถมีความคิดสร้าง สรรค์ได้ เด็กจะต้องเรียนรู้ และนำเอาสิ่งที่เรียนรู้นั้นมาใช้แก้ปัญหา หากเด็กขาดความรู้ เด็กจะไม่สามารถประมวลความคิดใดๆ และนำมาแก้ปัญหาได้เลย นั่นจึงแสดงให้เห็นว่า คนที่มีความรู้มาก จึงได้เปรียบทางปัญญามากกว่า และสามารถพัฒนาให้เกิดทักษะทางสติปัญญามากกว่า

ดังนั้นพ่อแม่ควรกระตุ้นให้ลูก เกิดความคิดสร้างสรรค์โดย ให้ความสำคัญต่อการกระตุ้นทางด้านประสาทสัมผัส พราะประสาทสัมผัสเป็นช่องทางในการรับข้อมูลและส่งเข้าไปในสมอง และจากการวิจัยพบว่า “การกระตุ้นทางด้านประสาทสัมผัสนั้นยังส่งผลให้เซลล์สมองแตกใยประสาทมา เชื่อมต่อระหว่างกัน และยิ่งเกิดใยประสาทมากเท่าไร การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างเซลล์จึงเป็นไปได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นการคิดแก้ปัญหาจึงมีแนวโน้มว่าจะเกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นและเร็ว ยิ่งขึ้น ดีกว่าการทำงานคนเดียวติดต่อประสานงานกับใครไม่ได้ การแก้ปัญหาก็อาจจะประสิทธิผลได้น้อย หรืออาจเกิดขึ้นไม่ได้เลยก็เป็นได้”

การกระตุ้นประสาทสัมผัส จะต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เช่น การฝึกประสาทสัมผัสทางมือ พ่อแม่ควรให้เด็กได้ลองจับพื้นผิวที่แตกต่างกัน หรืออุณหภูมิทั้งอุ่นและเย็น เพื่อให้เด็กสามารถแยกแยะความแตกต่าง และกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ขึ้นได้

เผยปัญหาเพศในเด็กหูหนวก

ดร. จิตประภา ศรีอ่อน อาจารย์ประจำวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องการรับรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มผู้พิการทางการ ได้ยิน กรณีศึกษาสถานศึกษาสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน (โรงเรียนโสตศึกษา) โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยพบว่า นักเรียนกลุ่มผู้พิการทางการได้ยินในโรงเรียนโสตศึกษา ยังมีปัญหาด้านสุขภาพค่อนข้างมาก ทั้งนี้ในโรงเรียนไม่มีครูพยาบาลโดยตรง มีแต่ครูอนามัยที่มีวุฒิสาขาวิชาสุขศึกษา ทำให้ไม่สามารถดูแลเด็กเจ็บป่วยได้ ส่วนผู้เรียนมีปัญหาด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย ขณะเดียวกันครูผู้สอนไม่สามารถสื่อกับนักเรียนได้อย่างที่ต้องการ เพราะมีปัญหาด้านการสื่อสารด้วยภาษามือ

ดร.จิตประภา ศรีอ่อน กล่าวต่อไปว่า ปัญหาด้านสุขภาพที่พบใน โรงเรียนทุกโรงเรียน คือเด็กเล็กที่อยู่ประจำไม่สามารถดูแลตัวเองด้านสุขภาพได้ ทำให้เกิดปัญหาด้านร่างกาย และการแต่งกายสกปรก ทำให้เกิดโรคระบาด เช่น โรคตาแดง หัด หวัด เหา และหิด นอกจากนี้สุขภาพปากและฟันของเด็กยังเป็นปัญหาใหญ่ เด็กจำนวนมากฟันผุ

“ปัญหาเรื่องเพศของวัยรุ่นเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการสื่อสารของผู้พิการทางหูจะต้องใกล้ชิดกันมากเนื่องจากใช้ภาษา มือ และทุกๆ ครั้งที่มีการสื่อสารจะต้องจ้องเข้าไปในดวงตาของกันและกัน ทำให้เด็กที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นเกิดอาการอ่อนไหวกับเพศตรงข้ามได้”
ดร.จิตประภากล่าว

ส่วนการสื่อสารเพื่อให้เกิดสุขภาวะที่ดีในกลุ่มผู้พิการทางการได้ยินนั้น ดร.จิตประภากล่าวว่า ภาษา มือที่ใช้สื่อสารนั้นเด็กผู้พิการทางการได้ยินไม่สามารถรับสารได้เต็มร้อย เปอร์เซ็นต์ ทำให้การรับรู้ด้อยลงไป อย่างเช่น เด็กคนหนึ่งไปโรงพยาบาลเพราะรู้ว่าไม่สบาย แต่ไม่สามารถบอกหมอได้ว่าเป็นอะไร เรื่องแบบนี้เกิดกับเด็กที่พิการทางหูแทบจะทุกคน ส่วนล่ามภาษามือในโทรทัศน์นั้น ในงานวิจัยระบุว่าล่ามทำเร็วเกินไป ใช้ภาษาค่อนข้างยาก ผู้รับสารไม่สามารถรับสารได้ทั้งหมด

“สังคมควรตระหนักรู้ว่าการเป็นคนหูหนวกก็เป็นเช่นนั้นเอง ต้องเข้าใจพวกเขา อย่าให้พวกเขาเป็นเหมือนเรา แม้กระทั่งคนปกติดีๆ ก็ไม่สามารถให้ใครเป็นอย่างตัวเราได้ เราต้องมองเขาอย่างที่เขาเป็น และเราควรทำอะไรให้เขาอย่างที่เขาต้องการ”
ดร.จิตประภากล่าว

5 เคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้แข็งแรงทั้งกายและใจ

สำหรับคุณแม่และคุณพ่อ มือใหม่ ที่กังวลเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยว่าต้องทำอย่างไร จึงจะเรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ และทำอย่างไรจึงจะดีที่สุดสำหรับลูกน้อย คุณหมอมีข้อแนะนำที่เป็นหัวใจสำคัญห้าข้อ มาให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนำไปปฏิบัติไม่ได้ยากค่ะ

1.สุขภาพคุณแม่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง

ก่อนที่คุณแม่จะสามารถดูแลลูกน้อยให้มีสุขภาพดีได้นั้น คุณ แม่ต้องดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ คุณแม่ที่ต้องการให้นมลูกเองควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อปริมาณที่ร่างกายต้อง การ คือประมาณวันละ 8-10 แก้ว งดเว้นการดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่ และอย่าลืมหมั่นออกกำลังกาย เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะถ้าคุณแม่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี ก็จะส่งผลให้คุณแม่สามารถดูและลูกน้อยได้อย่างสมบูรณ์ตามไปด้วย

 2.น้ำนมแม่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ใกล้ตัวที่สุด

นมแม่เป็น “สุดยอดแหล่งอาหาร” ที่แสนประหยัด ให้คุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มีอาหารชนิดอื่นมาทดแทนได้ และ ปราศจากสิ่งปลอมปนที่อาจเป็นอันตรายสำหรับลูกน้อยอีกด้วย ในน้ำนมแม่ยังมีสารที่ให้ภูมิคุ้มกันร่างกาย เปรียบเหมือนวัคซีนธรรมชาติที่ป้องกันลูกไม่ให้เจ็บป่วยในขณะที่ร่างกายลูก ยังสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่เต็มที่

เด็กที่กินนมเป็นประจำสมองจะพัฒนาได้ดีและจะมี IQ สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่
และจะมีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ที่สมบูรณ์ เพราะการที่แม่อุ้มลูกแนบกับอกนั้น เป็นการถ่ายทอดความรักและความอ่อนโยนที่จะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะได้ผลสูงสุดเมื่อให้เด็กกินนมแม่อย่างเดียวต่อ เนื่อง จนกระทั่งครบ 6 เดือน สำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามาถปรึกษากลุ่มแม่ อาสา คลินิกนมแม่ และโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่-ลูกทุกแห่งได้

3.ทุกมื้ออาหารต้องครบ 5 หมู่

คุณแม่และคุณพ่อควรเลือกอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนให้ลูกน้อยตามวัยของเขา โดย เลือกเมนูที่มีส่วนผสมที่แตกต่างกันในแต่ละมื้อ เพื่อให้ลูกได้สารอาหารที่หลากหลาย ที่สำคัญทุกมื้อควรจะมีผักและผลไม้ รวมทั้งโปรตีนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยอย่างยิ่ง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล เกลือ หรือไขมันมากๆ คุณหมอแนะนำให้ดูแลเรื่องอาหารของลูกน้อยตั้งแต่เล็กๆ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาโตขึ้น

4.มั่นใจในความเป็นพ่อและแม่ของตัวเอง

ในการเลี้ยงลูก ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต้องมั่นคง หนักแน่น และมั่นใจว่าคุณสามารถดูแลและเลี้ยงดูลูกของคุณให้เติบโดขึ้นมาอย่างมี คุณภาพได้ บทบาทการเลี้ยง ดูลูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณแม่ฝ่ายเดียวเท่านั้น คุณพ่อควรมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกตั้งแต่แรกเกิด ทั้งสองฝ่ายควรให้ความรัก ให้เวลาอยู่กับลูกพูดคุยกับลูก อ่านนิทานให้ลูกฟัง ชื่นชมเมื่อลูกประสบความสำเร็จ และให้การดูแลลูกอย่างใกล้ชิด พูดคุยอย่างมีเหตุผลกับลูกง่ายๆ ตามเกณฑ์อายุไปเรื่อยๆ ลูกจะสามารถเจริญเติบโตเป็นเด็กดีและเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมอนาคต

5.ช่างสังเกตและใส่ใจในรายละเอียดของลูกน้อย

ในเบื้องต้นพ่อแม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน จะได้ดูแลลูกเมื่อเจ็บป่วยเองได้ และมีอาการผิดปกติบางอย่าง ที่คุณพ่อและคุณแม่ต้องสนใจควรนำลูกน้อยไปปรึกษาแพทย์ เช่น ถ้าลูกน้อยของคุณนอนซึมไม่ยอมดื่มน้ำหรือทานอาหารเลย หรือเมื่อมีไข้สูงและมีอาการหนาวสั่น และไข้ไม่ลดหลังให้ยาลดไข้แล้ว หรือถ้าลูกน้อยของคุณอาเจียนหรือท้องเสียมากกว่า 3 ครั้งภายในเวลา 6 ชั่วโมง รวมทั้งถ้าลูกไม่มีปัสสาวะเลยในเวลา 6 ชั่วโมง การที่คุณสามารถสังเกตและพาลูกน้อยไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ อาจช่วยป้องกันไม่ให้อาการเจ็บป่วยที่อาจเก็ดขึ้นอยู่ในขั้นรุนแรง อาการอื่นของลูกน้อยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่แน่ใจสามารถปรึกษากุมารแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญ