วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คำแนะนำการดูโทรทัศน์ในเด็กเล็กๆ

คำแนะนำการดูโทรทัศน์ในเด็กเล็กๆหนึ่ง ในนักวิจัยเกี่ยวกับโทรทัศน์ชุด “Baby Einstein” กล่าวว่าผู้ปกครองควรที่จะดูโทรทัศน์ร่วมกับเด็ก ถ้าจะให้เด็กเล็กๆ ดูโทรทัศน์ ซึ่งอย่างน้อยก็จะเป็นวิธีที่จะช่วยในการมีส่วนร่วมหรืออธิบายในเนื้อหาของ โทรทัศน์ที่ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยผู้สร้างโทรทัศน์ชุด “Baby Einstein” ก็แนะนำเช่นเดียวกัน

แต่ผู้เชี่ยวชาญมากมายต่างโต้แย้งว่าในเด็กเล็ก ๆ ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์ สถาบัน “American Academy of Pediatrics (AAP)” กล่าวว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรดูโทรทัศน์และเด็กอายุมากกว่า 2 ขวบขึ้นไปไม่ควรดูโทรทัศน์มากกว่าหนึ่งหรือสองชั่วโมงต่อวัน

ในเอกสารตีพิมพ์ “Frederick Zimmerman” และนักวิจัยอื่นๆ เน้นไปที่เวลา การดูโทรทัศน์ทำให้เด็กเล็กๆ เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะว่าเด็กเล็กๆ ควรจะนอนอย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวัน ผู้ปกครองควรใช้เวลากับเด็กๆ ในการพูดคุยด้วย (ช่วยให้เด็กพัฒนาในเรื่องของภาษา) และมีส่วนร่วมในการปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งในโทรทัศน์ไม่สามารถทำได้ การพัฒนาทางด้านร่างกายและสังคมช่วยให้เด็กมีการพัฒนาทางด้านภาษาได้ สถาบัน “American Speech-Language-Hearing Association” แนะนำว่าการฝึกหัดการพัฒนาความเข้าใจในเด็กเล็ก ๆ เช่นการเช่นสายตา (eye contact) การสนทนาโต้ตอบ การเล่นโดยพัฒนานิ้วมือเด็ก (เช่นบล๊อคหยอดรูปทรงต่างๆ) และการอ่านให้เด็กฟัง

แต่นักวิจัยบางคนแสดงให้เห็นว่ารายการโทรทัศน์บางรายการก็ช่วยในเรื่อง พัฒนาการของเด็ก เช่นรายการ “Sesame Street” ที่เป็นรายการสำหรับเด็กโดยเฉพาะ และรายการเกี่ยวกับการศึกษาก็เป็นประโยชน์กับเด็กก่อนวัยเรียน หรือรายการโทรทัศน์ของช่อง “BabyFirstTV” ที่ทำให้สำหรับเด็กเล็กๆ ซึ่งมีเสียงวิจารย์มากมายเกี่ยวกับรายการช่องนี้ BabyFistTV เป็นช่องรายการไม่แสวงผลกำไร มีโปรแกรมเกี่ยวกับการศึกษา โดยทางบริษัทกล่าวอ้างว่าผู้ปกครองทั่วไปจะปล่อยให้เด็กดูรายโทรทัศน์เพียง ลำพัง แต่ผู้ชมรายการของเขาส่วนใหญ่มีผู้ปกครองดูรายการร่วมกับเด็กๆ

มีความคิดที่หลากหลายเกี่ยวกับการดูโทรทัศน์ในเด็กที่มีทั้งในแง่ดีและ ไม่ดี แต่สถาบัน “AAP” และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็ก แนะนำว่าอย่างไรก็ตามถ้าจะใช้เด็กดูรายการโทรทัศน์ควรจะนั่งดูร่วมกับเด็ก ๆ ด้วย ซึ่งการดูร่วมกันจะมีการโต้ตอบร่วมด้วยซึ่งจะเป็นผลดี โดยผู้ปกครองจะอธิบายในสิ่งต่างๆ ที่เด็กไม่เข้าใจได้

บทสรุป สำหรับการดูรายการโทรทัศน์ในเด็กเล็กๆ นั้นอาจจะกล่าวได้ว่า การดูโทรทัศน์ในเด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นโทษมากกว่าผลดีในเด็กเล็กที่ต่ำกว่า 2 ขวบ ถ้าจะให้เด็กดูโทรทัศน์ในทุกๆ วัยผู้ปกครองควรจะมีส่วนร่วมไปด้วยซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ

ไม่อยากให้ลูกท้องผูกเรื้อรัง

ปัญหาท้องผูกเรื้อรังในเด็กมักจะเริ่มเกิดในช่วง วัยทารก โดยปกติมักเกิดตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการทานมกระป๋อง จะไม่พบในเด็กที่ทานนมแม่ ถึงแม้เด็กที่ทานนมแม่จะ 3-4 วันถ่าย 1 ครั้ง ก็ไม่เป็นท้องผูก จึงควรส่งเสริมให้ลูกได้ทานนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 4 เดือน
นมผงบางชนิดทำให้ท้องผูกง่าย

เมื่อกเกิดอาการท้องผูกขึ้นมาควรรีบแก้ไขโดยอาจจะลองเปลี่ยนยี่ห้องของนมผง และให้น้ำลูกพลุนทานร่วมด้วย บางครั้งการแพ้โปรตีนในนมวัว ก็ทำให้เกิดท้องผูกได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เมื่อเริ่มเกิดอาการท้องผูกขึ้นมาแล้วยังแก้ไขไม่ได้


ในกรณีที่เป็นม้องผูกเรื้อรัง ควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าลูกจะทานผักและผลไม้ได้เอง และค่อย ๆ ลดยาลงมาจนสามารถเลิกยาได้ ซึ่งแปลว่าลูกหายจากท้องผูก โดยปกติการทานยาโรคท้องผูกเรื้อรังต้องใช้เวลารักษา ประมาณครึ่งหนึ่งของระยะเวลาที่ท้องผูก จึงต้องหมั่นทานยาจนกว่าจะดีขึ้น

สุนัขจิ้งจอกฟันดำ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่กระต่ายอาศัยอยู่กับลูก ๆ 7 ตัว ในป่าใหญ่ วันหนึ่งแม่กระต่ายต้องออกไปหาอาหารนอกบ้าน จึงบอกกับลูก ๆ ว่า อย่าเปิดประตูให้คนอื่นนอกจากแม่เท่านั้น ! ต่อมาไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก !!! จากนั้นก็มีเสียงที่แหบแห้งพูดว่า “ แม่กลับมาแล้วจ้ะ





ปรากฏว่าเป็นเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวร้ายนั่นเองไม่ใช่แม่กระต่าย แต่ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งของสุนัขจิ้งจอกลูกกระต่ายทั้งหลายจึงไม่เชื่อ เจ้าสุนัขจิ้งจอกรู้อย่างนั้นแล้วจึงพยายามพูดจาเสียงอ่อนหวานเพื่อให้ลูก กระต่ายเชื่อว่าแม่กลับมาแล้วจริง ๆ บรรดาลูกกระต่ายจึงบอกกับเจ้าสุนัขจิ้งจอกว่า

“ ไหนยื่นหน้ามาให้ดูหน่อยว่าเป็นแม่จริงหรือเปล่า? ”

พอเจ้าสุนัขจิ้งจอกยื่นหน้าเข้ามา บรรดาลูกกระต่ายก็พากันตกใจกับฟันแหลม ๆ ดำ ๆ ของเจ้าสุนัขจิ้งจอก ลูกกระต่ายตัวหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

“ นี่ไม่ใช่แม่ของเราแน่แน่ แม่ของเราฟันขาวสะอาด ”

“ นี่ต้องเป็นสุนัขจิ้งจอกฟันดำอย่างแน่นอน ” เจ้าลูกกระต่ายอีกตัวหนึ่งพูดขึ้น

เจ้าสุนัขจิ้งจอกจึงถูกจับได้ว่าปลอมเสียงมาหลอก ลูกกระต่ายจึงสอนให้เจ้าสุนัขจิ้งจอกมารู้จักการแปรงฟัน และยื่นแปรงสีฟันให้ ลูกกระต่ายทั้ง 7 ตัว จึงพากันแปรงฟันให้เจ้าสุนัขจิ้งจอกดู เจ้าสุนัขจิ้งจอกแปรงฟันตามลูกกระต่าย ฟันของเจ้าสุนัขจิ้งจอกขาวขึ้นทันตา


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๐ เด็กดีต้องหมั่นแปรงฟัน อย่างน้อยวันละ 2 หน เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า และก่อนเข้านอนในตอนกลางคืน

กบเลือกนาย




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีกบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง อย่างอิสระเสรี และมีความสุข ไม่มีใครบังคับเคี่ยวเข็ญ กิน นอน เล่น ไปวันวัน ทำให้รู้สึกว่าพวกตนช่างมีความสุขสบายเหลือเกิน





ต่อมาวันหนึ่งพวกกบได้มานั่งล้อมวงคุยกัน ต่างปรึกษากันว่าการอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ น่าจะมีหัวหน้า หรือ พระราชาปกครองพวกเราสักคน นอกจากจะทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วยังช่วยคุ้มครองอันตราย ให้กับพวกกบได้อีกด้วย กบทั้งหลายต่างมีความเห็นตรงกันจึงพากันไปขอหาเทวดาขอพรให้เทวดาช่วยส่งหัว หน้า หรือพระราชามาให้





เทวดารู้ว่าพวกกบสุขสบายกันจนเคยตัวก็เลยนึกอยากมีหัวหน้าไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดจริงจังอะไร จึงเสกท่อนซุงให้หล่นจากฟ้าตกลงสู่หนองน้ำเสียงดังโครมใหญ่ พวกกบพากันตกใจกลัวรีบดำหนีไปหลบก้นสระ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงพากันโผล่ขึ้นมา





พวกกบทั้งหลายได้เห็นซุงท่อนใหญ่ก็รู้ว่าเป็นพระราชาที่เทวดาประทานมาให้ ต่างพากันดีใจและให้ความเคารพท่อนซุงนั้น





ต่อมาไม่นานมีกบตัวหนึ่งใจกล้ากระโดดขึ้นไปเกาะบนท่อนซุงใหญ่ กบตัวอื่นๆเห็นว่าพระราชาของตนไม่ว่า อะไรก็พากันกระโดดตามขึ้นไปบ้าง

“พระราชาของเราองค์นี้ท่านก็ใจดีอยู่หรอก แต่อ่อนแอไม่เอาไหน วัน ๆ ได้แต่ ลอยไป ลอยมา...น่าเบื่อ” กบตัวหนึ่งกล่าวอย่างหมดความยำเกรง

“พวกเราน่าจะไปร้องขอพระราชาองค์ใหม่ที่เข้มแข็งกว่านี้มาปกครองพวกเราดีกว่า” กบอีกตัวพูด

พวกกบจึงพากันไปร้องขอต่อเทวดา เทวดาเห็นว่าพวกกบทำแบบนั้น จึงโกรธพวกกบที่ไม่รู้จักพอใจ ในความเป็นอยู่ที่แสนสุขสบายของตน คราวนี้เลยส่งนกกระสาไปแทนท่อนซุง เมื่อนกกระสาลงไปก็จับพวกกบกิน เป็นอาหาร ตัวแล้วตัวเล่า พวกกบหายไปทีละตัวทีละตัว เมื่อได้รับความเดือดร้อนพวกกบ ที่เหลืออยู่จึงพากัน ขอพระราชาองค์ใหม่จากเทวดาอีกครั้ง

“เมื่อเจ้าไม่พอใจสภาพความเป็นอยู่เดิมของตัวเอง ก็จงทนอยู่กับสภาพที่พวกเจ้าร้องขอไปเถอะ... ”เทพเจ้าตวาดเสียงดังลงมาจากฟากฟ้า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :เราควรพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่...การไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี เที่ยวร้องขอในสิ่งที่ต้องการไม่รู้จักจบสิ้น ย่อมเกิดผลร้ายตามมา

กระต่ายกับเต่า




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่ามันวิ่งได้เร็วมาก จนหลงตัวเองว่าในป่าแห่งนี้ไม่มีใครวิ่งเร็วชนะตนเองได้ วันหนึ่งกระต่ายเดินร้องเพลงมาอย่างสบายใจ และพบกับเต่าเข้า เห็นเต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านหน้าไป กระต่ายจึงพูดกับเต่าว่า

“มัวแต่คลานต้วมเตี้ยมอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะถึงบ้านล่ะ แบบนี้ข้าว่า...ข้าต่อให้เจ้าคลานล่วง หน้าไปก่อนสักครึ่งวันข้าก็วิ่งตามทัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กระต่ายหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าเต่า

“ข้าก็คลานของข้าแบบนี้ของข้ามาตั้งนานแล้ว” เต่ารู้สึกไม่พอใจที่กระต่ายพูดจาแบบนั้นใส่ตน แล้วพูดต่ออีกว่า “กระต่าย หลงตัวเองอย่างเจ้า ไม่เห็นว่าจะเก่งตรงไหนดีแต่โม้ไปวันวัน”

กระต่ายผู้ทะนงในความวิ่งเร็วของตนเองเห็นเต่าพูดจาอย่างนั้น จึงพูดขึ้นว่า

“งั้นแน่จริงกล้าวิ่งแข่งกับข้าไหมล่ะ? เจ้าเต่าต้วมเตี้ยม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่กล้าล่ะสิ”

เต่าตอบทันควันว่า “ตกลง...เรามาวิ่งแข่งกัน ใครถึงเส้นชัยก่อนคนนั้นชนะ” กระต่ายแทบไม่เชื่อ หูตัวเอง

“เจ้านะเหรอกล้าท้าแข่งกับข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าต่อให้เจ้าก่อนก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ทันใดนั้นเจ้านกน้อยบินผ่านมาพอดีเต่าและกระต่ายจึงขอให้นกน้อยเป็นกรรมการ ตัดสินให้ เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น กระต่ายวิ่งออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วสุดฝีเท้านำเต่าไปก่อน พอถึงกลางทางหันกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นแม้แต่เงาของเต่า เจ้ากระต่ายจึงนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนเผลอหลับไป

ส่วนเจ้าเต่ายังคงคลานต้วมเตี้ยมๆอย่างไม่ย่อท้อ โดยมีเพื่อนสัตว์ป่าส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ เนื่องจากเพื่อนทุกตัวไม่ชอบนิสัยของเจ้ากระต่ายขี้คุย

เจ้าเต่ายังคงคลานต่อไปจนแซงหน้ากระต่ายที่มัวแต่ นอนหลับอยู่ เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเจ้าเต่าคลานจะถึงเส้นชัยแล้ว มันรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหวังจะไล่ให้ทัน แต่ก็สายไปเสียแล้ว พวกสัตว์ป่าต่างห้อมล้อมเข้าไปแสดงความยินดีกับเต่าตัวแรกที่สามารถเอาชนะ กระต่ายได้ในการวิ่งแข่งขัน เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความประมาทเป็นบ่อเกิดของความพ่ายแพ้และผิดหวัง ,ความพยายามอยู่ที่ไหนความ สำเร็จอยู่ที่นั่น

เด็กเลี้ยงแกะ




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งมีนิสัยเกเร ชอบพูดโกหก วันหนึ่งหลังจากต้อนฝูงแกะ ออกไปกินหญ้าบริเวณเชิงเขาแล้ว เกิดนึกสนุกอยากหาเรื่องแกล้งชาวบ้านเล่น จึงเดินกลับมาที่หมูบ้าน เมื่อใกล้จะ ถึงจึงแกล้งวิ่งหน้าตื่น ร้องตะโกนเสียงดัง “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย ฝูงหมาป่าจะมาจับแกะไปกินหมดแล้ว”

เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้น จึงพากันรีบวิ่งมาช่วยพร้อมถือมีด ไม้ และอาวุธต่าง ๆ มาด้วยเเต่เมื่อมาถึงก็ไม่พบ หมาป่า เด็กเลี้ยงแกะเห็นชาวบ้านวิ่งกันมาเก้อจึงส่งเสียงหัวเราะอย่างตลกขบขัน ชาวบ้านรู้สึกไม่พอใจแต่เห็น ว่าเป็นเด็กจึงให้อภัย





เด็ก เลี้ยงแกะยังคงไม่รู้สึกอะไร เห็นเป็นเรื่องสนุกยังคงหลอกให้ชาวบ้านวิ่งหน้าตาตื่นเหมือนเดิมอีก หลายครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งมีหมาป่ามาไล่กินเเกะจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงเเกะ ตะโกนขอความ ช่วยเหลือแต่ไม่มีใครมาช่วยอีกเลยเพราะคิดว่าเด็กเลี้ยงแกะโกหก


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : คนพูดโกหกจนติดเป็นนิสัยจะไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนคนนั้น

ราชสีห์กับหนู




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ราชสีห์รู้สึกง่วงมากจึงล้มตัวลงนอนพักผ่อนใต้ ต้นไม้ ในขณะที่มันกำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะมีเจ้าหนูตัวหนึ่งปีนขึ้นไปเล่นบนหลังของราชสีห์ ด้วยความไม่รู้ว่าเป็นร่างของเจ้าป่า

ราชสีห์ร้องคำรามด้วยความโกรธ และกล่าวว่า “เจ้าหนู...เจ้าบังอาจมาก ตัวเล็กนิดเดียวกล้าขึ้นมา เล่นบนหลังข้า” แล้วราชสีห์ก็ยกอุ้งเท้าขึ้นตะปบเจ้าหนูไว้ หวังจะฆ่าเจ้าหนูตัวนั้นให้ตาย

แต่เจ้าหนูได้ร้องขอชีวิตและพูดว่า “ท่านเจ้าป่า...โปรดอย่าฆ่าข้าเลย...ข้าน้อยผิดไปแล้วโปรด ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด... ข้าน้อยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อไปจะไม่ทำอีก”

ราชสีห์ได้ฟังเจ้าหนูอ้อนวอนดังนั้น จึงสงสารเลยให้อภัยและปล่อยตัวเจ้าหนูไป เพราะเป็นถึงเจ้าแห่งสัตว์ป่า ไม่อยากรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า

เจ้าหนูจึงกล่าวว่า “บุญคุณที่ท่านไว้ชีวิตข้าครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย หากมีโอกาสข้า จะต้องช่วยเหลือท่านเป็นการตอบแทน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ราชสีห์หัวเราะเสียงดัง “ตัวกระเปี๊ยกอย่างเจ้าจะช่วยอะไรข้าได้ ไปให้พ้นข้าจะนอน” เจ้าหนู จึงเดินจากไป

หลังจากนั้นไม่นานในเย็นวันหนี่ง ราชสีห์กำลังออกล่าเหยื่อกลับพลาดไปติดกับดักของนายพราน แต่ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้จึงส่งเสียงคำรามลั่นป่า เมื่อเจ้าหนูได้ยินก็จำได้ว่าเป็นของราชสีห์ จึงรีบมาดู

เจ้าหนูกระซิบกับราชสีห์ว่า “อย่ากลัวไปเลยท่าน ข้ามาช่วยแล้ว”

จากนั้นเจ้าหนูก็ใช้ฟันอันแหลมคมกัดเชือกจนขาด และราชสีห์ก็หลุดจากกับดักที่นายพรานทำไว้เป็นอิสระ ราชสีห์กับหนูจึงตกลงจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันและเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การให้อภัยผู้อื่นเป็นผลดีแก่ตัวเอง อย่าดูถูกคนที่ด้อยกว่าเพราะทุกคนต้องช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกัน